เทศน์เช้า

ยกกายบูชาพระ

๒ ก.ค. ๒๕๔๓

 

ยกกายบูชาพระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดอกไม้ถ้ามันอยู่ในป่ามันก็อยู่เป็นดอกไม้ป่า ดอกไม้เราเอามาบูชาพระ ดอกไม้นี่ถึงได้บูชาพระ ถ้าอยู่ในป่าก็เป็นธรรมชาติของเขา พอเป็นธรรมชาติของเขามันก็แบบว่า เราคิดว่าดีใช่ไหมเพราะว่ามันเป็นธรรมชาติเกิด เรามองแต่ความสวยงาม อันนั้นเปรียบเทียบไง เราเปรียบเทียบว่า ถ้าดอกไม้อยู่ในป่ามันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คือว่ามันต้องผลิออกมา แล้วก็ต้องโรยราไปโดยธรรมดา

อันนี้ดอกไม้เปรียบเหมือนหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เห็นไหม นี่บูชา เอาดอกไม้ขึ้นไปบูชาพระ เรามาทำบุญกุศล อันนี้ยังไม่ได้บูชาพระ ถ้าเราบูชาพระนะ เราเอาดอกไม้บูชาพระ เราเอาตัวเรานั่งสมาธิ เวลาเรานั่งสมาธิขึ้นมานี่เราเอาตัวเราทั้งหมดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นการบังคับไง ถ้าเราบังคับตัวเราเอง มันจะได้ประโยชน์ขึ้นมา

ดอกไม้เกิดขึ้นมาแล้วก็โรยราไปโดยธรรมชาติของมัน มันก็ได้สวยงามในตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็ส่งผลกันไป พอมันเป็นปุ๋ยเป็นอะไรไปโดยธรรมชาติของมัน แต่เวลาเราเกิดเราตาย เวลาเราเกิดขึ้นมาชาติหนึ่ง ธรรมชาติของเรา เราเอาชีวิตเรานี่ ตั้งแต่เกิดมาจนตายไป ผจญกับความทุกข์ยากไปตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ ทำไมเราไม่ดัดแปลงตน

ดอกไม้มันบูชาพระนี่ ตัวดอกไม้เองไม่รู้เรื่อง แต่คนที่เอามาบูชาพระ คนนั้นต่างหากเขาได้บุญกุศล เพราะสิ่งที่บูชาพระนั้นเป็นอามิสทาน นี่ดอกไม้บูชาพระกับอาหารเครื่องบริโภคบูชาพระนี้เหมือนกัน ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยเอาไปบูชาพระ บุญกุศลได้เหมือนกัน เป็นอามิสทานเหมือนกัน ถวายทานนี่เป็นถวายทานไป

แต่ถ้าบูชาพระ เห็นไหม บูชาด้วยเครื่องหอม บูชาด้วยธูปเทียนเหมือนกัน พอเหมือนกัน กิจของสงฆ์ เห็นไหม ภัตกิจ คือการขบฉันอาหาร นี่ก็เป็นกิจอย่างหนึ่ง วัตรปฏิบัติ วัตรปฏิปทานั่นก็เป็นกิจอย่างหนึ่ง กิจของสงฆ์เป็นกิจทั้งหมด แต่ของเราเห็นว่าเวลาเรามาเสวย คือว่าเรามากินข้าวอย่างนี้มันเป็นความสุข เวลางานเราไม่คิด นี่เป็นกิจทั้งหมดเลย มีคุณค่าเท่ากัน

ไอ้การบูชาก็เหมือนกัน บูชาด้วยอะไรล่ะ นี่การบูชาอันนั้นเป็นบุญกุศลของเรา เราบูชาขึ้นมา นี้เราเอาตัวเราเองขึ้นไปถวายทาน เห็นไหม เราเอาตัวเองเปรียบเหมือนดอกไม้ เราได้ถวายทานด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม ได้ถวายทานเป็นบุญกุศลกลับมา แต่ถ้าเราน้อมกลับมาเป็นธรรมอีกชั้นลึกเข้าไป เราบูชาด้วยปฏิบัติบูชา เราเอาร่างกายของเราปฏิบัติบูชาเลย

พอบูชาไป อย่างที่เขาถามเมื่อวาน เห็นไหม พอบูชาไป พอจิตมันเริ่มสงบเข้าไป ความรู้ความเห็นต่างๆ เขามาถามปัญหาว่าคนนั้นเห็นอย่างนั้น คนนี้เห็นอย่างนั้นนะ ความเห็นของเขา เลยว่า ความเห็นนั้นยังเชื่อถือไม่ได้ ความเชื่อถือไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่านี่อุปาทานความเห็นของเราภายในมันจะมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน ความเห็นอันนั้นเชื่อได้ไม่ได้ เพราะว่าถ้าอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นของใจมันสงบเรียบลงไป อย่างที่ครูบาอาจารย์เห็นมันถึงน่าจะเชื่อถือได้ไง

ความเห็นเริ่มต้นก็เหมือนกับวัฏวนที่วนไป เห็นไหม ความกระทบกระทั่งวนไป จิตนี้ก็เหมือนกัน จิตของเรากระทบกระทั่งมา คือว่ามันได้เกิดมา เกิดตายเหมือนดอกไม้นี่ ดอกไม้เวลามันโรยราไป ดอกใหม่ก็ผลิขึ้นมา แต่มันผลิเป็นดอกใหม่ขึ้นมา แต่หัวใจที่มันเวียนตายเวียนเกิด เวียนตายเวียนเกิดซ้ำๆ ซากๆ ขึ้นมา ภพชาตินั่นมันสะสมขึ้นมา แล้วพอเกิดขึ้นมา กระแสของกรรมมันสับไป มันเห็นได้โดยธรรมชาติ เห็นได้โดยธรรมชาตินะเวลาจิตเป็นอย่างนี้ขึ้นมา แต่เห็นแล้วมันควรจะเป็นความสลดสังเวชไง ความสลดสังเวชว่าเราเป็นอย่างนั้นๆๆ เหรอ ว่าความระลึกอดีตชาติได้ แต่ความระลึกอดีตชาติได้ จะเชื่อมั่นได้หรือเชื่อมั่นไม่ได้ อันนั้นเราวางไว้

เพราะถ้าคนไม่มีปัญญา สรรพสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานี่ เราทำธุรกิจขึ้นมา หรือทำงานขึ้นมา งานนั้นเป็นประโยชน์กับเราทั้งหมดเลย ถึงจะเป็นงานธรรมดา ออกกำลังกายก็เพื่อให้ร่างกายมันสมบูรณ์ เห็นไหม นี่ถ้าเป็นงานขึ้นมา มันจะมีผลตอบสนองกลับมา จะเป็นผลสนองตอบกลับมาด้วยความเป็นจริง หรือผลสนองตอบกลับมาในทางธุรกิจ อันนั้นเป็นผลสนองกลับมา

อันนี้จิตนี้ก็เหมือนกัน มันมีผลสนองกลับมาเวลาเราพิจารณาไปๆ แล้วจิตมันสงบเข้าไปนี่ ผลสนองตอบกลับมาที่ความเห็นอันนั้น ผลสนองกลับมาแล้ว ถ้าเป็นเด็ก เห็นไหม เดี๋ยวนี้เด็กพยายามจะไม่ศึกษา จะออกหาการหางานทำเลย พอได้เงินได้ทองขึ้นมา ความเห็นเงินครั้งแรกมันจะทำให้เด็กใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่ายไป แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เห็นแล้วส่วนนั้นเป็นส่วนน้อย จะเห็นบั้นปลายว่า ต่อไปเด็กหรือต่อไปถ้ามีโครงการศึกษาขึ้นไปถึงบั้นปลายมันจะได้ประโยชน์มากกว่า ความยาวไกล นี่ความเห็นอันนั้น

นี่ย้อนกลับมาถ้าใจมันเข้าไปเห็นนะ แล้วถ้าไปตื่นเต้นก่อน เห็นไหม มันก็เหมือนกับเด็กๆ น่ะ จิตนี้เป็นเด็กๆ จิตนี้เข้าไปประสบพบเห็นสิ่งนี้ปั๊บ มันจะทำให้ติดกับสิ่งนั้นไป หรือทำให้แบบว่า มีอารมณ์ร่วมไป เห็นไหม มันแบ่งแยกออกไม่ได้ อดีตชาติมันมีเด็ดขาด พระพุทธเจ้าบอกไว้ อดีตชาติเป็นพระเวสสันดร เป็นอะไร นี่ย้อนกลับมา แต่ท่านพูดมาเพื่อเป็นคติเตือนใจให้เป็นคำสอนไง ไม่ใช่จะต้องให้เราไปทำแบบนั้นแล้วให้ต้องรู้แบบนั้น

พระอรหันต์บางองค์จะไม่เห็นสิ่งใดๆ เลย เป็นสุกขวิปัสสโก สุขสำเร็จไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ที่เห็นนั้นก็เป็นอำนาจวาสนา แล้วเห็นไหมอำนาจวาสนา กับใจดวงนั้นนะถ้าเป็นประโยชน์ก็จะออกมาคุยเป็นประโยชน์ เป็นคติเตือนใจ ถ้าไม่เป็นประโยชน์จะออกมาพูดทำไม พูดให้ติดเป็นยาพิษเหรอ มันเป็นยาเสพติด

เขาว่า “ธรรมะนี้เป็นยาเสพติด ศาสนานี้เป็นยาเสพติด” เขาว่านะ

ขอให้มันเสพติดเถอะ ถ้าเราเสพติดธรรมะ แต่เราไม่เสพติดธรรมะ เราเสพติดความอยากคือกิเลสตัณหาของเราต่างหาก ความมักง่าย ความสุกเอาเผากินนั่นน่ะทำให้พวกเราไม่ได้ทำประโยชน์ในศาสนาให้เข้าถึงหลักเกณฑ์ของศาสนาจริง เราถึงว่าไม่มักง่าย ไม่สุกเอาเผากิน ความเห็นสิ่งนั้นวางไว้ก่อน เพราะอันนี้ยังไม่เป็นประโยชน์

เวลาเราเข้าไปพบสิ่งใดน่ะเราวางไว้เพราะยังไม่เป็นประโยชน์ เราวางไว้ก่อน แล้วทำใจเข้าไป สงบเข้าไปๆ พอถึงเข้าไป พอมันผ่านวิกฤติหรือว่าผ่านการวิปัสสนาเข้าไปจนทำให้อุปาทานอันนั้นมันสงบตัวลง กลับมามันเป็นอันเก่านั่นล่ะ ถ้ามันกลับมาแล้วมันเป็นผลประโยชน์ เหมือนเงินทองเราสะสมไว้ๆ เราจะใช้ประโยชน์เมื่อไหร่ก็ได้ เราอย่าเพิ่งเร่งรีบไปใช้เงินใช้ทองก่อน ใช้เงินใช้ทองก่อนไปแล้วก็หาเหนื่อยยากไป เราสะสมไว้ๆ จนถึงจุดหนึ่งมันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา

นั่นน่ะเวลาจิตมันสงบเข้าไป ความเห็นของเขา เขามาถามว่า “ความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้นๆ ทำไมความเห็นเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างไรๆ” มันยิ่งคิดเข้ามานะ คิดเข้ามา สลดสังเวชเข้ามาๆ สังเวชตรงที่ว่า เวลาเขาเห็น เขารู้เห็นนี่มันไม่เป็นประโยชน์กับเขา ไม่เป็นประโยชน์เลย ติดอยู่ในแง่นั้นเฉยๆ แต่ถ้าพอบอกว่า “เห็นไหม มันย้อนกลับมาแล้ว มันน่าจะสลด น่าจะสังเวชตัวเอง ตัวเองต้องมาเป็นอย่างนั้นๆ” นี่มันจะซ้อนกลับไป

แล้วมันยืนยัน ยืนยันกับอดีตชาติ ยืนยันกับความทุกข์ของเราที่ทุกข์มาตลอดไป ความทุกข์ของเรามา ทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ มา นี่ถึงบอกไงว่า “ดอกไม้ในป่า” ก็เหมือนชีวิตเรานี่ ถ้าชีวิตเราใช้ชีวิตไปแบบโลกๆ เขา ใช้ชีวิตไปแบบนั้น มันก็เหมือนดอกไม้ในป่า จะไม่เป็นประโยชน์ ร่างกายนี้ก็เหมือนกับดอกไม้นั้น ใช้ชีวิตไปโดยลืมตา

ประสบความสำเร็จทางโลกนะ ทางโลกนี่ประสบความสำเร็จ แล้วแต่ทำงานหนักขนาดไหน อาจารย์บอกลืมตาข้างเดียว ความสำเร็จทางโลกมันก็อยู่ในโลกนี้ไง มันจะไปสิ้นสุดเอาตรงชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จะจบเรื่องของโลกต่อเมื่อเวลามันพลัดพรากออกจากกัน เห็นไหม นี่ไปสิ้นสุดเอาตรงนั้น แต่บุญกุศลมันตามหัวใจนั้นไป ถึงไม่มีการสิ้นสุด มันสะสมไป บุญญาธิการ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างสมบารมีมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป แล้วองค์สมเด็จสมณโคดมสร้างบุญบารมีมานี่ การสะสมมาแล้วบุญกุศลถึงจะแนบกับใจไปๆ ติดดวงใจดวงนั้นไป สะสมไปเป็นบุญญาบารมีไปตลอด แล้วมันพาเกิด พาเกิดดี เกิดสูงเกิดต่ำนี่มันเป็นวิบากกรรม มันเป็นไปได้ถึงวิบากกรรม เกิดสูงเกิดต่ำ

ดูแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาของเรา เวลาไปอยู่กับเวรัญชพราหมณ์ ที่บอกว่าอดอาหาร ที่ว่าคราวตกทุกข์ได้ยากน่ะ กรรมมันให้ผล แม้แต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาโลกธรรม ๘ น่ะ เวลาท่านสอนลูกศิษย์ลูกหา สอนพระนะ “ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โดนโลกธรรมกระทบกระเทือนที่แรงที่สุดใน ๓ โลกธาตุนี้ ไม่มีใครโดนกระทบกระเทือนแรงเท่าพระพุทธเจ้า”

เห็นไหม โดนกล่าวตู่ โดนจาบจ้วง โดนทุกอย่างเลย เวลาจาบจ้วง แม้แต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์ด้วย แต่เป็นพระอรหันต์ อย่างที่ว่านั่นน่ะ เวลาเขากล่าวตู่ เขาจาบจ้วงมา ไม่รับ มันก็ตกอยู่ตรงนั้น กรรมของคนที่จาบจ้วงนั้น กรรมมหาศาลเลย กรรมมหาศาลเพราะอะไร

เพราะถ้าเราเป็นปุถุชน เรามีปัญหากัน เรายังมีการตอบโต้กัน แต่ผู้ที่สิ้นแล้ว ผู้ที่หมดจากกิเลสแล้ว เป็นผู้ที่ไม่ตอบโต้ไง เป็นผู้ที่ว่าเป็นเนื้อนาบุญ เป็นผู้ที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เป็นฝ่ายทำข้างเดียว นี่กรรมมหาศาลจะเกิดขึ้น อันนั้นเป็นกรรมของเขา จะชี้ให้เห็นว่า นี่วิบากกรรม การเกิดสูงเกิดต่ำมันจะเกิดไปอย่างนั้น

ถ้าว่าสั่งสมคุณงามความดี ทุกคนจะย้อนกลับมาเลย “เรานี่ทำความดีมหาศาลเลย ทำไมเราไม่ได้ดี”...ต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดีเด็ดขาด ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ตามหลักศาสนาสอนอย่างนั้นเด็ดขาดเลย แต่ทำดีกับสิ่งใด

อย่างเช่นโจรจะออกหากิน เราไปยับยั้งเขา เขาต้องเก็บเราก่อน เพราะเราไปรู้เรื่องความลับของเขา นี่เราไปบอกโจรอย่าไปทำอย่างนั้นๆ เห็นไหม ทำความดีกับคนน่ะ ทำความดี สิ่งที่สนองตอบเข้ามา...

ถึงว่าปฏิคาหกไง ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ เนื้อนาบุญของโลก ปุญฺญกฺเขตฺตํ เนื้อนาบุญของโลก อย่างเห็นสมณะที่สงบนี่เป็นบุญกุศลแล้ว แค่เห็นก็เป็นกุศล ได้ทำบุญกุศลขึ้นไปอีก เห็นไหม ถึงบอกให้เราควบคุมใจของเรา

ดอกไม้ไม่มีชีวิต ดอกไม้นี้อยู่ที่คนควบคุมไป แต่มาเปรียบเทียบให้เห็นว่า ดอกไม้เวลาบูชาพระนี่สวยงามขนาดไหน บุญกุศลเกิดขึ้นจากเราเป็นอามิสทาน ปฏิบัติบูชา เราถวายกาย กายนี้เหมือนดอกไม้ดอกหนึ่ง เราถวายปฏิบัติบูชา นั่งปฏิบัติ เดินจงกรมปฏิบัติ ถวายกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่มันก็เป็นกุศลกลับเข้ามา ปฏิบัติบูชาอย่างนี้พระพุทธเจ้าสรรเสริญอย่างมาก สรรเสริญเพราะการปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า แต่บุญกุศลผลที่เกิดขึ้นเป็นหัวใจดวงที่ปฏิบัตินั้นได้รับทั้งหมด

อย่างเช่นเราทำอะไรถวายในหลวง เดี๋ยวนี้ทุกคนถวายในหลวงๆ เห็นไหม ถวายในหลวง แล้วคนทำได้น่ะ แต่เหตุเพราะจะถวายในหลวง นี้ถวายพระพุทธเจ้าๆ เริ่มต้นไง แต่พอไป...ดูอย่างพระสารีบุตร มีคนไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเลย ไม่เชื่อ จนพระไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเรียกพระสารีบุตรมา กับเรียกพระคู่กรณีมา

“สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราจริงๆ เหรอ”

“แต่ก่อนนั้นเชื่อมหาศาลเลย แต่ปัจจุบันนี้ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเลย”

“เพราะอะไร ทำไมเธอถึงไม่เชื่อล่ะ”

“เพราะรู้เอง เห็นเอง ปฏิบัติเข้าไปเห็นเองโดยตามความเป็นจริง”

นี่ย้อนกลับมาที่ปฏิบัติถวายพระพุทธเจ้า ปฏิบัติถวายในหลวง เห็นไหม นี่ปฏิบัติไป เชื่อ การปฏิบัติถวายเพื่อเขานี่ศรัทธามันชักนำ เชื่อเพื่อคนอื่น ความเชื่อนั้นชักนำ แต่พอถึงที่สุดแล้ว การปฏิบัตินั้นเพื่อเราทั้งหมด

พระพุทธเจ้าไม่ขอแบ่งบุญกุศลจากใครเลย เป็นของผู้ที่ปฏิบัติทั้งนั้นเลย แต่อาศัยตัวชักนำ ตัวชี้นำ ตัวดึงออกไป นี่บุญกุศลของเรา เราทำแล้วเราได้หมด ทำดีต้องได้ดี ทำกับเรานี่ได้ดีมาก เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ การปฏิบัติดัดตนสำคัญที่สุด แล้วตนดีทั้งหมดแล้ว สังคมดี โลกนี้ดี ดีไปโดยธรรมชาติของมัน เอวัง